คนโบราณคิดเลขได้อย่างไร
ประวัติ ของคณิตศาสตร์ เริ่มต้นเมื่อคนเราต้องจดนับปริมาณที่มากกว่าหนึ่ง มนุษย์เผ่าที่เร่ร่อนในยุคแรกนับและบันทึกจำนวนสัตว์ในฝูงได้แม้ไม่มีระบบ จำนวนเป็นลายลักษณ์อักษรในการนับ โดยเขาใช้วิธีเก็บก้อนกรวดหรือเมล็ดพืชไว้ในถุง ถ้าจำนวนมีค่ามากก็จะใช้นิ้วต่างๆ เป็นสัญลักษณ์แทนจำนวน 10 และ 20 พวกเขาได้พัฒนาแนวคิดเกี่ยวกับจำนวนว่าเป็นสัญลักษณ์ ซึ่งแตกต่างจากสิ่งของที่กำลังนับ เมื่อการเก็บข้อมูลและการนับมีความซับซ้อนมากขึ้น มนุษย์ได้ประดิษฐ์เครื่องช่วยในการทำงาน ลูกคิดเป็นเครื่องมือชนิดหนึ่งในยุคแรก ซึ่งไม่สามารถชี้ชัดแหล่งที่มาแน่นอนได้ แต่เป็นไปได้ที่จะมีต้นกำเนิดมาจากชาวบาบิโลน ลูกคิดเป็นที่รู้จักตั้งแต่สมัยกรีกและโรมันตอนต้น ในตอนแรกลูกคิดมีผิวหน้าหยาบใช้เม็ดมันๆ หรือ เป็นแผ่นหินใส่เครื่องหมายเพื่อบอกตำแหน่งจำนวนและใช้ก้อนกรวดเป็นตัวนับ ชาวโรมันเรียกก้อนกรวดนั้นว่า แคลคูไล ซึ่งก่อให้เกิดคำว่า แคลคูเลชั่น ซึ่งหมายถึงการคำนวณขึ้น
เครื่องคำนวณในยุคประวัติศาสตร์
ลูกคิด (Abacus) แบบ โบราณจากเกาะกรีกของชาวซาลามิสเป็นแผ่นหินอ่อนขนาดยาว 1.5 เมตร เชื่อกันว่าพวกแลกเปลี่ยนเงินตรานำไปใช้ในโบสถ์ ข้อความที่จารึกไว้บนแท่งหินแสดงรายการราคาและชื่อของเหรียญต่างๆเช่นแดร็ก มา แทลเลนส์ และโอโบล เป็นต้น

เครื่องคำนวณเครื่องแรกของโลก ได้แก่ ลูกคิด มีการใช้ลูกคิดในหมู่ชาวจีนมากกว่า 7000 ปี และใช้ในอียิปต์โบราณมากกว่า 2500 ปี ลูกคิดของชาวจีน ประกอบด้วยลูกปัดร้อยอยู่ในราวเป็นแถวตามแนวตั้ง โดยแต่ละแถวแบ่งเป็น ครึ่งบนและล่าง บนมีลูกปัด 2 ลูก ล่างมีลูกปัด 5 ลูก แต่ละแถวแทนหลักตัวเลข
ในยุคกลางตอนต้น ลูกคิดของชาวตะวันออกได้ปรากฎขึ้นในตะวันออกกลาง มีลักษณะเป็นกรอบคล้ายกล่องและมีก้านสำหรับยึดลูกปัด ลูกคิดชนิดนี้ยังคงใช้อยู่แพร่หลายในเอเชียและตะวันออกกลาง
ในยุคกลางตอนต้น ลูกคิดของชาวตะวันออกได้ปรากฎขึ้นในตะวันออกกลาง มีลักษณะเป็นกรอบคล้ายกล่องและมีก้านสำหรับยึดลูกปัด ลูกคิดชนิดนี้ยังคงใช้อยู่แพร่หลายในเอเชียและตะวันออกกลาง

ลูกคิดของชาวจีนประกอบด้วยโครงไม้แบ่งเป็นสองส่วน คือ ส่วนบนและส่วนล่าง แกนไม้ในแนวตั้งใช้แทนหลักของจำนวนและลูกปัดแทนจำนวน ในแต่ละแกนจะมีลูกปัด 2 ลูก ในส่วน "สวรรค์" เหนือที่กั้นนับเป็น 5 และ 5 ลูกบน "พื้นโลก" ใต้ที่กั้นนับเป็น 1 ให้ลูกปัดส่วนบนอยู่ติดขอบบนสุดของโครงไม้ และลูกปัดส่วนล่างอยู่ติดขอบล่างสุด จำนวนที่แสดงในรูปทางขวามือคือ 73 หากบวกด้วย 28 ลูกปัดจะถูกเคลื่อนย้ายดังในรูป

ใครประดิษฐเครื่องคำนวณเครื่องแรก
การก่อตัวทางความคิดในศตวรรษที่ 17 ผลักดันให้นักคณิตศาสตร์มาถึงจุดสำเร็จในการประดิษอุปกรณ์เพื่อช่วยลดแรงงานในการคำนวณ
ในปี ค.ศ. 1614 จอห์น เนเปียร์ (Neper John Napier) นักศาสนาและคณิตศาสตร์ชาวสก็อต ได้ค้นพบ ลอการิทึม และได้แปลงปัญหาของการคูณที่ซับซ้อนไปเป็นปัญหาการบวกที่ง่ายขึ้น โดยการจารึกตารางการคูณบนชุดของแท่งหลายๆแท่ง ในปี ค.ศ. 1617 เขาสามารถทำให้การคูณเลขที่มีค่ามากกระทำได้ง่ายขึ้น ภายในเวลา 2-3 ปี ต่อมา มีการนำลอการิทึมไปใช้บนไม้บรรทัดแบบเลื่อน และเป็นเหตุให้แท่งจารึกตารางการคูณของเขาพ้นสมัยไป
ในปี ค.ศ. 1614 จอห์น เนเปียร์ (Neper John Napier) นักศาสนาและคณิตศาสตร์ชาวสก็อต ได้ค้นพบ ลอการิทึม และได้แปลงปัญหาของการคูณที่ซับซ้อนไปเป็นปัญหาการบวกที่ง่ายขึ้น โดยการจารึกตารางการคูณบนชุดของแท่งหลายๆแท่ง ในปี ค.ศ. 1617 เขาสามารถทำให้การคูณเลขที่มีค่ามากกระทำได้ง่ายขึ้น ภายในเวลา 2-3 ปี ต่อมา มีการนำลอการิทึมไปใช้บนไม้บรรทัดแบบเลื่อน และเป็นเหตุให้แท่งจารึกตารางการคูณของเขาพ้นสมัยไป


แท่งจารึกตารางการคูณ ไม้บรรทัดแบบเลื่อน
ในปี ค.ศ. 1642 ณ ประเทศฝรั่งเศส เบลส แพสคาล ลูกชายวัย 19 ปี ของพนักงานเก็บภาษี ได้ทดลองใช้เครื่องบวกเลขแบบเครื่องกลเพื่อช่วยงานบิดา โดยการประสานตัวเฟืองซึ่งสามารถคำนวณเลขจำนวนมากได้ แม้ว่าเครื่องแพสคาลไลน์นี้จะเป็นเครื่องบวกเลขเครื่องแรก แต่แท้จริงแล้วเครื่องคิดเลขเครื่องแรกนั้นสร้างขี้นในปี ค.ศ.162 โดยศาสตราจารย์ชาวเยอรมันชื่อ วิลเฮล์ม ชิลคาร์ด เบลส แพสคาล (ค.ศ.1623-1662) ได้เขียนโฆษณาไว้ว่า " ผมขอเสนอเครื่องจักรต่อสาธารณะ ซึ่งคุณจะสามารถใช้เครื่องคิดเลขได้อย่างง่ายดาย และยังสามารถปลดเปลื้องภาระงานซึ่งมักจะทำให้คุณเกิดความล้าในอารมณ์อีก ด้วย"
เครื่องแพสคาลไลน์ เครื่องซึ่งแสดงภาคตัดขวาง จะทำการบวกหรือลบเมื่อล้อฟันเฟืองประสานกันขณะหมุน
วงล้อจะนำผลรวมที่มีค่ามากกว่า 9 ไปทดยังหลักถัดไป ผลจะปรากฎในหน้าต่างแสดงผล โดยจำนวนที่อยู่ขวาสุดเป็นจำนวนสำหรับการบวก ส่วนจำนวนทางขวาสำหรับการลบ
เครื่องแพสคาลไลน์ เครื่องซึ่งแสดงภาคตัดขวาง จะทำการบวกหรือลบเมื่อล้อฟันเฟืองประสานกันขณะหมุน
วงล้อจะนำผลรวมที่มีค่ามากกว่า 9 ไปทดยังหลักถัดไป ผลจะปรากฎในหน้าต่างแสดงผล โดยจำนวนที่อยู่ขวาสุดเป็นจำนวนสำหรับการบวก ส่วนจำนวนทางขวาสำหรับการลบ




ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ชาวอังกฤษชื่อ ชาร์ลส์ แบบเบจ (Charles Babbage) ได้ ออกแบบเครื่องจักรกำลังไอน้ำชื่อ อนาลิทิคัล เอนจิน ซึ่งสามารถคำนวณรากที่สอง รากที่ 3 และฟังก์ชั่นเอ็กโพเนนเชียลอื่นๆ ได้ ถึงแม้ว่าเครื่องดังกล่าวจะอยู่ในขั้นแบบจำลอง แต่ก็ใช้หลักการหลายอย่างเช่นในคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ จนเป็นที่รู้จักในนามของบิดาของคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันและในปี ค.ศ. 1800 เขาประสบความสำเร็จสร้างเครื่องคำนวณ ที่เรียกว่า Difference engine ซึ่ง สร้างขึ้นตามข้อกำหนดของแบบเบจ โดยใช้กำลังของเครื่องจักรไอน้ำ สามารถคำนวณตารางลอการิทึมโดยใช้หลักการของผลต่างคงที่และบันทึกผลลงบนแผ่น โลหะ แบบจำลองถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1822 เป็นเครื่องคิดเลขขนาด 6 หลัก สามารถคำนวณและพิมพ์ตารางตัวเลขได้ ในปี ค.ศ. 1833 เขาได้ประกาศถึงแผนการที่จะสร้างแอนนาลิทิคัล เอ็นจิน ซึ่งมีกำลังสูงและใช้งานได้มากกว่าเดิม สามารถทำงานคำนวณได้อย่างกว้างขวาง สามารถเก็บตัวเลข 40 หลักไว้ได้ 100 จำนวน เครื่องจักรประกอบด้วยฟันเฟืองและวงล้อทำงานได้ ผู้ใช้งานจะสั่งให้เครื่องทำงานหรือที่เรียกในภาษาสมัยใหม่ว่าเขียนโปรแกรม โดยการเจาะรูบัตรชุดหนึ่ง แนวคิดของบัตรเจาะรูไม่ใช่ของใหม่ในสมัยนั้น ช่างทอผ้าไหมชาวฝรั่งเศสชื่อ โจเซฟ-มารี แจคการ์ด เป็น คนแรกที่คิดเรื่องการใช้บัตรเจาะรูสำหรับเครื่องทอผ้าไหมแบบอัตโนมัติ แจคการ์ด ได้ปรับปรุงเทคโนโลยีการทอผ้าให้มีความละเอียดแม่นยำจนกระทั่งต้องใช้คำ สั่งเจาะบนบัตรเจาะรูจำนวนถึงหมื่นบัตรเพื่อทอผ้าไหมลายปราณีต แม้ว่าแบบเบจจะได้พัฒนาแบบในรายละเอียด และปรับปรุงเทคนิคในการสร้างเครื่องเพื่อแสดงว่าจะสามารถสร้างเครื่อง แอนนาลิทิคัล เอ็นจิน นี้ได้ แต่ก็น่าเสียดายที่เขาไม่มีเงินลงทุนและทรัพยากรเพียงพอที่จะดำเนินโครงการ และแม้จะไม่สำเร็จแต่เขาก็เป็นเจ้าของความคิดในหลักการซึ่งเป็นรากฐานของ คอมพิวเตอร์มัยใหม่ ซึ่งแนวคิดนี้ได้รับการนำมาใช้เป็นต้นแบบของเครื่องคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน จึงยกย่อง แบบเบจ ว่าเป็นบิดาแห่งเครื่องคอมพิวเตอร์ เอดา ออกุสตา (Ada Augusta) ผู้ช่วยเหลือ Babbage ออกความเห็น เขียนคำสั่ง และวิธีใช้เครื่องนี้แก้ปัญหาดังนั้นจึงได้รับการยกย่องให้เป็น โปรแกรมเมอร์คนแรกของโลก


ในปี ค.ศ.1890 เฮอร์แมน ฮอลเลอริท สร้างเครื่องประมวลผลข้อมูลเครื่องแรกของโลกเพื่อนับและทำตารางสำรวจมโนประชากรในประเทศสหรัฐอเมริกา
ใน ปี ค.ส. 1880 ฮอลเลอริท ได้เรียนรู้กระบวนการนับที่เชื่องช้าของการสำรวจสำมะโนประชากร
ซึ่งต้องใช้เสมียนจำนวนมากเป็นเวลาหลายปีนับข้อมูลประชากรของปี ค.ศ. 1880 กว่าที่เจ้าหน้าที่จะวิเคราะห์ข้อมูลและจัดพิมพ์ตัวเลขเหล่านั้นเสร็จ
ข้อมูลทั้งหมดก็ล้าหลังไป 5 ปีแล้ว เขาใช้แนวคิดบัตรเจาะรู โดยประดิษฐ์บัตรขนาดกว้าง 7.5 ซ.ม. ยาว 12.5 ซ.ม. ประกอบด้วย 12 แถว แต่ละแถวเจาะรูได้ 20 รู เพื่อเก็บข้อมูลเกี่ยวกับอายุ เพศ ประเทศที่เกิด สถานะภาพการสมรส จำนวนบุตร และข้อมูลอื่นๆ ของแต่ละคน พนักงานทำการรวบรวมข้อมูลจากการสำรวจประชากรและบันทึกผลลงในบัตรเจาระรูตาม ตำแหน่งที่เหมาะสม จากนั้นก็ป้อนบัตรเข้าเครื่องสร้างตาราง และแต่ละครั้งที่เข็มโลหะสัมผัสพบรูจะทำให้เกิดไฟฟ้าครบวงจร และข้อมูลจะถูกบันทึกลงในคลังของหน้าปัดสำหรับบันทึกระบบการสร้างตารางด้วย ไฟฟ้าของฮอลเลอริท ซึ่งมีชื่อว่า ฮอลเลอริท อิเล็กทริก แทบูเลทิง ซิสเต็ม นี้ใช้นับและรวบรวมข้อมูลของประชากรจำนวน 66,622,250 คน ในปี ค.ศ. 1890
เฮอร์แมน ฮอลเลอริท (ค.ศ.1860-1929) ได้รับสัญญาให้ทำการสำรวจสำมะโนประชากรในปี ค.ศ.1890 เมื่อเขาได้สาธิตให้เห็นถึงความเร็วของเครื่องจักรของเขา ประชากรของสหรัฐอเมริกา เพิ่มขึ้นมากกว่า 20% นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1880 เป็นต้นมา เครื่องจักรของเขาได้ร่นระยะเวลาในการนับจาก 5 ปี เป็น 2 ปี
ต่อมาในปี ค.ศ. 1896 ฮอลเลอริชได้จดทะเบียนก่อตั้งบริษัทเพื่อผลิตจำหน่ายเครื่องจักรช่วยในการ คำนวณ ชื่อ บริษัท คอมพิวติง เทบบูลาติง เรดคอสดิง หลังจากนั้นในปี ค.ศ. 1924 ได้เปลี่ยนมาเป็น ชื่อบริษัท ไอบีเอ็ม (International Business Machine : IBM)
ในปี พ.ศ. 2487 บริษัทไอบีเอ็มได้สร้างเครื่องคำนวณที่สามารถคำนวณจำนวนที่มีค่าต่าง ๆ ได้ โดยหัวหน้าโครงการคือ ศาสตราจารย์โฮวาร์ด ไอเกน แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และให้ชื่อเครื่องคำนวณนี้ว่า มาร์กวัน>(Mark I)
ใน ปี ค.ส. 1880 ฮอลเลอริท ได้เรียนรู้กระบวนการนับที่เชื่องช้าของการสำรวจสำมะโนประชากร
ซึ่งต้องใช้เสมียนจำนวนมากเป็นเวลาหลายปีนับข้อมูลประชากรของปี ค.ศ. 1880 กว่าที่เจ้าหน้าที่จะวิเคราะห์ข้อมูลและจัดพิมพ์ตัวเลขเหล่านั้นเสร็จ
ข้อมูลทั้งหมดก็ล้าหลังไป 5 ปีแล้ว เขาใช้แนวคิดบัตรเจาะรู โดยประดิษฐ์บัตรขนาดกว้าง 7.5 ซ.ม. ยาว 12.5 ซ.ม. ประกอบด้วย 12 แถว แต่ละแถวเจาะรูได้ 20 รู เพื่อเก็บข้อมูลเกี่ยวกับอายุ เพศ ประเทศที่เกิด สถานะภาพการสมรส จำนวนบุตร และข้อมูลอื่นๆ ของแต่ละคน พนักงานทำการรวบรวมข้อมูลจากการสำรวจประชากรและบันทึกผลลงในบัตรเจาระรูตาม ตำแหน่งที่เหมาะสม จากนั้นก็ป้อนบัตรเข้าเครื่องสร้างตาราง และแต่ละครั้งที่เข็มโลหะสัมผัสพบรูจะทำให้เกิดไฟฟ้าครบวงจร และข้อมูลจะถูกบันทึกลงในคลังของหน้าปัดสำหรับบันทึกระบบการสร้างตารางด้วย ไฟฟ้าของฮอลเลอริท ซึ่งมีชื่อว่า ฮอลเลอริท อิเล็กทริก แทบูเลทิง ซิสเต็ม นี้ใช้นับและรวบรวมข้อมูลของประชากรจำนวน 66,622,250 คน ในปี ค.ศ. 1890
เฮอร์แมน ฮอลเลอริท (ค.ศ.1860-1929) ได้รับสัญญาให้ทำการสำรวจสำมะโนประชากรในปี ค.ศ.1890 เมื่อเขาได้สาธิตให้เห็นถึงความเร็วของเครื่องจักรของเขา ประชากรของสหรัฐอเมริกา เพิ่มขึ้นมากกว่า 20% นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1880 เป็นต้นมา เครื่องจักรของเขาได้ร่นระยะเวลาในการนับจาก 5 ปี เป็น 2 ปี
ต่อมาในปี ค.ศ. 1896 ฮอลเลอริชได้จดทะเบียนก่อตั้งบริษัทเพื่อผลิตจำหน่ายเครื่องจักรช่วยในการ คำนวณ ชื่อ บริษัท คอมพิวติง เทบบูลาติง เรดคอสดิง หลังจากนั้นในปี ค.ศ. 1924 ได้เปลี่ยนมาเป็น ชื่อบริษัท ไอบีเอ็ม (International Business Machine : IBM)
ในปี พ.ศ. 2487 บริษัทไอบีเอ็มได้สร้างเครื่องคำนวณที่สามารถคำนวณจำนวนที่มีค่าต่าง ๆ ได้ โดยหัวหน้าโครงการคือ ศาสตราจารย์โฮวาร์ด ไอเกน แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และให้ชื่อเครื่องคำนวณนี้ว่า มาร์กวัน>(Mark I)

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อิเล็กทรอนิกส์คอมพิวเตอร์เครื่องแรกมีรูปร่างอย่างไร
ความคิดฝันของชาลส์ แบบเบจ กลายเป็นความจริงในเวลา 70 ปี หลังจากที่เขาสิ้นชีวิตลง เมื่อนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยฮาร์ดวาร์ด ชื่อ โฮเวิร์ด ไอเก เริ่มสร้างเครื่องคำนวณชื่อ มาร์ค-วัน (Mark I) ใน ปี ค.ศ. 1941 ซึ่งใช้กลุ่มของรีเลย์เครื่องกลไฟฟ้า ทำหน้าที่เป็นสวิตซ์เปิดและปิด เครื่องมาร์ค-วัน มีขนาดกว้าง 2.4 เมตร ยาว 15.2 เมตร สามารถบวกและลบ 3 ครั้งหรือคูณ 1 ครั้ง เสร็จใน 1 วินาที และใช้เวลาเพียง 1 วัน สำหรับแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ที่คนหนึ่งคนสามารถทำได้ด้วยเครื่องบวกเลขใน เวลา ถึง 6 เดือน แต่ในเวลาไม่นานมาร์ค-วัน ก็ถูกแซงขึ้นหน้าโดยเครื่องเอ็นนีแอค (ENIAC) ซึ่ง ใช้หลอดสูญญากาศแทนสวิตซ์ เจ.พี.เอ็คเคริด และจอนห์น มอชลี แห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนียได้เปิดเผยโฉมหน้าของอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์เมื่อวันที่ 14 ก.พ. ค.ศ. 1946 เครื่องนี้สามารถคำนวณได้เร็วกว่าเครื่องจักรทุกรุ่นที่สร้างขึ้นก่อนหน้า นั้นถึง 1,000 เท่า โดยการบวกและลบ 5,000 ครั้ง คูณ 350 ครั้ง หรือหาร 50 ครั้งต่อหนึ่งวินาที แต่ขนาดของเครื่องก็ใหญ่ประมาณสองเท่าของเครื่องมาร์ค-วัน ปรรจุเต็มตู้ 40 ตู้ ด้วยชิ้นส่วนถึง 100,000 ชิ้น ซึ่งรวมถึงหลอดสูญญากาศประมาณ 17,000 หลอด มีน้ำหนัก 27 ตัน ขนาดกว่าง 5.5 เมตร ยาว 24.4 เมตร
ซึ่งเราจะว่ากันต่อไปใน ประวัติความเป็นมาตอนที่2
ความคิดฝันของชาลส์ แบบเบจ กลายเป็นความจริงในเวลา 70 ปี หลังจากที่เขาสิ้นชีวิตลง เมื่อนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยฮาร์ดวาร์ด ชื่อ โฮเวิร์ด ไอเก เริ่มสร้างเครื่องคำนวณชื่อ มาร์ค-วัน (Mark I) ใน ปี ค.ศ. 1941 ซึ่งใช้กลุ่มของรีเลย์เครื่องกลไฟฟ้า ทำหน้าที่เป็นสวิตซ์เปิดและปิด เครื่องมาร์ค-วัน มีขนาดกว้าง 2.4 เมตร ยาว 15.2 เมตร สามารถบวกและลบ 3 ครั้งหรือคูณ 1 ครั้ง เสร็จใน 1 วินาที และใช้เวลาเพียง 1 วัน สำหรับแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ที่คนหนึ่งคนสามารถทำได้ด้วยเครื่องบวกเลขใน เวลา ถึง 6 เดือน แต่ในเวลาไม่นานมาร์ค-วัน ก็ถูกแซงขึ้นหน้าโดยเครื่องเอ็นนีแอค (ENIAC) ซึ่ง ใช้หลอดสูญญากาศแทนสวิตซ์ เจ.พี.เอ็คเคริด และจอนห์น มอชลี แห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนียได้เปิดเผยโฉมหน้าของอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์เมื่อวันที่ 14 ก.พ. ค.ศ. 1946 เครื่องนี้สามารถคำนวณได้เร็วกว่าเครื่องจักรทุกรุ่นที่สร้างขึ้นก่อนหน้า นั้นถึง 1,000 เท่า โดยการบวกและลบ 5,000 ครั้ง คูณ 350 ครั้ง หรือหาร 50 ครั้งต่อหนึ่งวินาที แต่ขนาดของเครื่องก็ใหญ่ประมาณสองเท่าของเครื่องมาร์ค-วัน ปรรจุเต็มตู้ 40 ตู้ ด้วยชิ้นส่วนถึง 100,000 ชิ้น ซึ่งรวมถึงหลอดสูญญากาศประมาณ 17,000 หลอด มีน้ำหนัก 27 ตัน ขนาดกว่าง 5.5 เมตร ยาว 24.4 เมตร
ซึ่งเราจะว่ากันต่อไปใน ประวัติความเป็นมาตอนที่2